สุลต่านอัลดุล อะซีซ (Abdul Aziz; (
ภาษาตุรกีออตโตมัน: عبد العزيز / `Abdü’l-`Azīz) เป็นสุลต่านแห่ง
จักรวรรดิออตโตมาน ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2404 – 2419 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาคือ
สุลต่านอับดุล เมจิดที่ 1 พระองค์ประสูติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2372ในรัชสมัยของพระองค์ จักรวรรดิออตโตมานถูกคุกคามจากตะวันตกสูงมาก ทำให้พระองค์ต้องสานต่องานทางด้านการปฏิรูปที่พระเชษฐาของพระองค์ริเริ่มไว้ พระองค์เสด็จไป
ปารีสและ
เวียนนาใน พ.ศ. 2410 ซึ่งนับเป็นสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมานพระองค์แรกที่เสด็จต่างประเทศ เมื่อกลับมาแล้ว ได้นำสถาปัตยกรรมแบบยุโรปมาใช้ในประเทศ นอกจากนั้น ในรัชสมัยของพระองค์ยังมีปัญหาด้านการคลังเนื่องจากการกู้เงินต่างประเทศมาใช้ในรัชกาลก่อนหน้า ใน พ.ศ. 2418 นั้น ยอดเงินกู้ของจักรวรรดิออตโตมานสูงถึง 200 ล้านปอนด์นอกจากนั้น ในรัชสมัยของพระองค์เกิดการจลาจลหลายแห่ง เริ่มจากชาวคริสต์ใน
เกาะครีตประกาศเอกราช และขอไปรวมกับ
กรีซใน พ.ศ. 2410 สุลต่านทรงส่งกำลังไปปราบจน พ.ศ. 2411 จึงยอมให้ชาวคริสต์ร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ชาวเติร์กในการเก็บภาษีและตัดสินคดี และให้มีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งได้ ใน พ.ศ. 2418 เกิดจลาจลใน
บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างชาวนาที่เป็นชาวคริสต์กับเจ้าของที่ดินที่เป็นมุสลิม ที่มีการขูดรีดภาษีชาวนา ทำให้มีผู้ลี้ภัยเข้าไปใน
เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และ
ออสเตรีย-ฮังการี มหาอำนาจในตะวันตกได้แก่ ออสเตรีย-ฮังการี
เยอรมัน และ
รัสเซียพยายามขัดขวางการจลาจลโดยจัดการประชุมที่
เบอร์ลิน พ.ศ. 2419 และประกาศเป็นบันทึกช่วยจำเบอร์ลิน เพื่อให้ผู้ลี้ภัยกลับถิ่นเดิมและดูแลการปฏิรูปให้ได้ผล อังกฤษไม่ยอมรับบันทึกช่วยจำ ทำให้วิกฤตการณ์ขยายตัวออกไป เกิดการฆ่าฟันชาวคริสต์ใน
บัลแกเรียหลายพันคน เพื่อตอบโต้ที่เจ้าหน้าที่ชาวเติร์กถูกชาวคริสต์สังหาร การที่สุลต่านอับดุล อะซีซไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ทำให้อัครมหาเสนาบดี
มิตฮัต ปาชาก่อการรัฐประหาร ปลดพระองค์ลงจากตำแหน่งเมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2419 และให้พระราชภาติยะของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทนเป็น
สุลต่านมูรัดที่ 5สุลต่านอับดุล อะซีซสวรรคตเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2419 หลังการสละราชสมบัติ โดยใช้กรรไกรตัดที่ข้อมือทั้งสองข้างขณะถูกคุมขังในหอคอย ทำให้เกิดความกังขาว่าทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไร
[1] การชันสูตรพระศพไม่ได้รับอนุญาต เอกสารที่เป็นทางการระบุว่าทรงปลงพระชนม์ชีพเอง และพระบรมศพถูกฝังที่กรุง
คอนสแตนติโนเปิล โดยมีทั้งผู้ที่เชื่อว่าทรงปลงพระชนม์ชีพเองและถูกลอบปลงพระชนม์ ต่อมาในรัชสมัยของ
สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 ที่ครองราชย์ต่อจากสุลต่านมูรัดที่ 5 ได้กล่าวหาว่ามิตฮัต ปาชาเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์สุลต่านอับดุล อะซีซ และพิพากษาให้เนรเทศปาชาไปยัง
คาบสมุทรอาระเบียใน พ.ศ. 2424 ก่อนที่ปาชาจะถูกลอบสังหารที่นั่นในอีกสองปีต่อมา